วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

พระสมเด็จ อรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร

พระสมเด็จ อรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร

ก่อนกำเนิดพระ เครื่อง พิมพ์สมเด็จวัดระฆังฯ นั้น พระสมเด็จอรหัง นับว่าเป็นยอดพระเครื่อง ต้นสกุลพระ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือ แบบชิ้นฟัก มาก่อนนานแล้วผู้ริเริ่มพระเครื่องที่เรียกเราเรียกกันจนติดปากมาจนทุก วันนี้ว่า พระสมเด็จฯ และเป็นผู้สร้างพระสมเด็จ อรหัง ด้วยนั้นก็คือ สมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถื่อนพระสมเด็จพระสังฆราช หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน นี้นับเป็นพระอาจารย์ผู้ยิ่งยงในวิทยาคมด้านเมตตามหานิยมผู้เป็นพระอาจารย์ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี และยังเป็นพระบรมราชาจารย์ของล้นเกล้าฯ ในรัชกาลที่ 2, ที่ 3 และที่ 4 อีกด้วย  พระสังฆราชญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ผู้ให้กำเนิดต้นสกุล พระพิมพ์สมเด็จ องค์นี้ ประสูติเมื่อวันศุกร์ เดือน 2 ขึ้น 10 ค่ำ ปีฉลู จุลศักราช 1095 หรือ พ.ศ. 2276 ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา ในรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ท่านเป็นชาวกรุงเก่าชื่อ สุก และเข้าใจว่าก่อนถึงอายุ 34 ปี คือ พ.ศ. 2310 ซึ่งเป็นระยะที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้ายนั้น ท่านได้บวชมาก่อนแล้วหลายพรรษา จนปรากฏชัดจากพงศาวดารว่า ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่ วัดท่าหอย เมื่อสมัยกรุงธนบุรี นี่เองพระ อาจารย์สุก หรือ พระญาณสังวรเถระ หรือ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของราชวงศ์จักรีนี้ นับว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยืนดูการกระทำอันโหดร้ายของพม่าเมื่อคราวกรุงแตกมา แล้ว เหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้อาราธนาลงมาอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ก็เห็นจะเป็นด้วย พระองค์ประสูติ เมื่อ  พ.ศ. 2279 ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์เช่นกันนับ แต่พระองค์ได้รับราชการเมื่อปลายสมัยอยุธยาจนกรุงแตกแล้วนั้น ก็ได้ทราบถึงเกียรติคุณของ พระอาจารย์สุก มาบ้างแล้ว จึงได้อาราธนาท่านลงมาอยู่ที่วัดพลับเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325   สมเด็จ พระสังฆราช ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2363 ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น 2 ค่ำปีมะโรง และได้ย้ายจากวัดพลับมาอยู่ที่วัดมหาธาตุได้เพียงปีเศษก็สิ้นพระชนม์ ณ วัดมหาธาตุ พระนคร เมื่อวันศุกร์เดือน 10  แรม 4 ค่ำ ปีมะเมีย ในรัชกาลของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงนับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์เดียว ที่ได้เห็นเหตุการณ์พม่าเผากรุงศรีอยุธยาและผนวชอยู่ในพระบวรพุทธศาสนา ตั้งแต่สมัยอยุธยา, สมัยกรุงธนบุรี, จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์, รวมพระชนมายุได้ถึง 90 ปี
พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ระหว่างอยู่ที่วัดราชสิทธารามนั้น ปรากฏว่าได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านตลอดขึ้นไปจนถึงเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ต่างก็พากันไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็เห็นจะเป็นเพราะบรรดาสานุศิษย์เหล่านั้นต่างก็ได้เห็นกฤตยาคมอัน ขลังด้านเมตตาพรหมวิหารของท่าน ซึ่งสามารถเรียก ไก่เถื่อน จากป่าเป็นฝูง ๆ มากรับการโปรยทานจากท่านเต็มลานวัดทุก ๆ วันนั้นเอง
เหตุนี้ชาวบ้าน สมัยนั้นจึงพากันเรียกท่านว่า พระสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านสามารถเรียกไก่เถื่อนออกมาจากป่าด้วยแรงอาคม และยิ่งได้ลิ้มรสอาหารเสกจากท่านด้วยแล้ว ไก่เถื่อนที่ว่าถึงกับไม่ยอมกลับเข้าป่า และเชื่องเป็นไก่บ้านไปเลย

การกำเนิดพระสมเด็จ อรหัง

นับ ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงโปรดให้พระอาจารย์สุกหรือพระญาณสังวรเถระ มาอยู่ที่วัดราชสิทธารามหรือวัดพลับ ที่ อ. บางกอกใหญ่ นครหลวงฝั่งธนบุรี แล้ว ต่อมาวัดนี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ การทรงผนวชของพระราชวงศ์แต่ละพระองค์นั้น ภายหลังมักจะเสด็จไปศึกษาวิปัสสนา ที่สำนักพระญาณสังวร ณ วัดราชสิทธารามอยู่เสมอ เช่นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น พระญาณสังวร สุก ไก่เถื่อน ก็ได้เป็นพระบรมราชาจารย์ของพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วย

จาก การที่สมเด็จฯ ท่านยิ่งใหญ่ด้านอาคมขลังจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วนั้นจะเป็นด้วยทนการ วิงวอนจากบรรดาสานุศิษย์หรือผู้คนที่นับถือท่านมากราย อยากจะได้พระเครื่องของท่านไว้คุ้มครองบ้างก็ได้ ด้วยเหตุนี้เอง, พระเครื่องพิมพ์สี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชิ้นฟัก ซึ่งสร้างด้วยผงวิเศษสีขาวนั้น สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ จึงได้ให้กำเนิดพระสมเด็จดังกล่าวนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ. 2360
เล่ากันว่า พระสมเด็จอรหัง ที่สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกนั้น ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นพระราชาคณะอยู่ที่วัดพลับ พระเครื่องพิมพ์สมเด็จฯส่วนหนึ่งเมื่อได้รับการปลุกเสกแล้ว ท่านก็แจกจ่ายให้ไปบูชากันโดยถ้วนทั่วและเป็นที่เข้าใจกันว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ปฐมฤกษ์นั้นก็คือ พิมพ์ เกศเปลวเพลิง ซึ่งด้านหลังจะไม่ปรากฏมีอักขระคำว่า อรหัง จารึกลงไว้เลย
สมเด็จพระ สังฆราชไก่เถื่อน ท่านได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการสร้างพระพิมพ์สมเด็จอรหังต่อมาอีก มีหลายพิมพ์ที่เสร็จแล้วท่านก็แจกสานุศิษย์ต่อไปโดยมิได้ลงกรุ แต่พระอีกจำนวนหนึ่งนั้น เมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และได้ย้ายมาอยู่ที่วัดมหาธาตุแล้ว ก็เข้าใจว่าพระสมเด็จอรหังส่วนหลังนั้น ท่านคงได้นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดมหาธาตุแห่งนี้ไว้เป็นจำนวนมากทีเดียว

พุทธลักษณะ, เนื้อ,และพิมพ์

พระ สมเด็จอรหัง ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนนี้ เท่านี้ปรากฏอยู่ในวงการพระเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว จะแยกแบบออกได้ถึง 5 พิมพ์ ด้วยกันดังนี้

1.   สมเด็จอรหัง พิมพ์สังฆาฏิ เป็นพระเนื้อผงสีขาวที่นิยมกันมากมีขนาดกว้าง 2 ซ.ม. สูง 3 ซ.ม. ครึ่ง พุทธลักษณะเป็นพระปางสมาธิประทับนั่งบนฐาน 3 ชั้น เห็นชายสังฆาฏิห้อยชัดเจนทุกองค์ ด้านขอบข้างองค์พระจะถูกอัดออกมาตามแบบแม่พิมพ์โดยไม่มีการตัดด้วยเส้นตอก เลย และโปรดสังเกตการประทับนั่ง เข่าจะแคบและตรง ส่วนด้านหลังจะปรากฏอักขระคำว่า อรหัง จารึกไว้ด้วย พระสมเด็จพิมพ์นี้แยกออกเป็น 2 แบบ คือ 1. แบบเศียรโต และ 2. แบบเศียรเล็ก

2.   พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ฐานคู่ เป็นพระเนื้อผงสีขาว เข่ากว้างและโค้งกว่าพระพิมพ์สังฆาฏิ โดยเฉพาะฐานสร้างเป็นเส้นเล็กคู่ นอกจากนั้นทั้งขนาด, ขอบด้านข้าง, และหลัง คงเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ ทุกอย่าง

3.   พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เกศเปลวเพลิง นี่เป็นอีกพิมพ์หนึ่งซึ่งนอกจากจะมีน้อยแล้ว แม้จะหาชมก็ยากนัก พระพิมพ์นี้ทั้งความงามและขนาดจะเหมือนกับ พิมพ์สังฆาฏิ มีเพี้ยนอยู่บ้างก็ตรงที่มีเกศขมวดม้วนเป็นตัว อุ และรูปทรงค่อนข้างชะลูด ส่วนฐานประทับถึงแม้จะเป็นแบบ 3 ชั้น แต่ก็หนาวกว่ากันมาก พระพิมพ์นี้เป็นพระเนื้อผงสีขาว ด้านหลังเป็นแบบราบโดยไม่มีอักขระขอมปรากฏให้เห็นเลย ส่วนขนาดจะเท่ากับพิมพ์แรก ๆ

4.   พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ขนาดพระพิมพ์นี้จะเท่ากับ 3 พิมพ์แรกสัญลักษณ์ที่ควรจดจำกับพระสมเด็จพิมพ์โต๊ะกัง นี้ได้ง่าย ๆ ก็คือ เป็นพระผงผสมว่านเนื้อออกสีแดงคล้าย ปูนแห้ง แม้ค่อนข้างหย่อนงามไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยาก ด้านหลังของพระพิมพ์นี้จะถูกปั๊มลึก ปรากฏเป็นอักขระคำว่า อรหัง นูนขึ้นมา ผิดกับ 3 พิมพ์แรกซึ่งถูกจารึกบุ๋มลงไปด้วยการจารึกเส้นเล็ก ๆ ด้วยมือตอนเนื้อพระยังไม่แห้ง

5.   พระสมเด็จอรหัง พิมพ์เล็ก พระพิมพ์นี้จะมีขนาดสูงเพียง 2.3 ซ.ม. เท่านั้น เป็นพระเนื้อผงสีขาว ซึ่งมีพุทธลักษณะเหมือนเช่นกับทุก ๆ พิมพ์ที่กล่าวไปแล้ว หากแต่ได้เพิ่มประภามณฑลล้อมรอบเศียรขึ้นมาอีกแบบเท่านั้นเอง นับว่าเป็นพระอีกพิมพ์หนึ่งที่หาชมได้ยากพอ ๆ กับพิมพ์เกศเปลวเพลิงทีเดียวสำหรับด้านหลังจะลงจารึกคำว่า อะระหัง ไว้ด้วยเช่นกัน

พระสมเด็จอรหัง มีสองกรุ

พระสมเด็จ อรหังทั้ง 5 พิมพ์ ดังได้กล่าวไปแล้วนั้น บางพิมพ์ตรงกัน แต่เนื้อกลับไม่เหมือนกัน หรือบางพิมพ์จารึกที่ลงไว้ด้านหลังกลับเป็นอักขระเล็กบ้าง, ใหญ่บ้าง, โดยไม่เท่ากันนั้น ก็เพราะพระสมเด็จอรหังนี้ มีแยกออกเป็น 2 กรุดังจะกล่าวไว้พอเป็นสังเขปดังนี้

1.   พระสมเด็จอรหัง กรุวัดมหาธาตุ กล่าวกันว่ามีผู้พบพระเพียง 3 พิมพ์เท่านั้น คือ 1. พิมพ์สังฆาฏิ 2. พิมพ์ฐานคู่ 3. พิมพ์เล็ก โดยจะเป็นพระเนื้อผงสีขาวทั้งหมดส่วนพิมพ์เกศเปลวเพลิงนั้น ต่างก็พูดกันว่า เป็นพระเครื่องพิมพ์แรกที่สมเด็จท่านอาจทำเป็นการทดลอง และได้แจกจ่ายไปก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่วัดพลับก็ว่าได้ พระสมเด็จกรุวัดมหาธาตุนี้ โดยทางเนื้อจะละเอียดขาวและมีความแน่นตัวมาก พระทุก ๆ องค์หากมิได้ใช้ หรือเมื่ออกจากกรุใหม่ ๆ จะมีฝ้าคราบขาวนวลหุ้มติดอยู่ทุกองค์บางองค์ก็ปิดทองล่องชาด และบางองค์ถึงกับเนื้องอกแบบพระวัดพลับก็มี ส่วนด้านหลังอักขระที่จารึกไว้นั้น ตัวอักษรจะเท่ากัน และค่อนข้างใหญ่กว่าของกรุวัดสร้อยทองอีกเล็กน้อย

2.   พระสมเด็จอรหัง กรุวัดสร้อยทอง พระสมเด็จกรุนี้ได้มีผู้พบภายหลังจากกรุวัดมหาธาตุ ได้เผยโฉมออกมาแล้ว พระที่พบคือสมเด็จอรหังพิมพ์สังฆาฏิ, พิมพ์โต๊ะกัง, และพิมพ์ฐานคู่ ซึ่งเป็นพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด พิมพ์แรกจะเห็นชายสังฆาฏิชัดเจน เช่นเดียวกับกรุวัดมหาธาตุแต่เนื้อจะหยาบกว่า แก่ผงเกสรดอกไม้และมีทรายปนอยู่ด้วย ส่วน พิมพ์โต๊ะกัง เป็นพระเนื้อสีแดง มีคราบกรุจับนวลขาวทั่วไป ตราปั๊มด้านหลังจะปรากฏแบบลึกนูนขึ้นมาชัดเจนอ่านง่าย ส่วนพิมพ์เล็กไม่ปรากฏพบอยู่ในกรุนี้เลย

เรื่องสมเด็จอรหังกรุวัด สร้อยทองนี้ บางท่านก็ว่าสมเด็จพระสังฆราชสุก ท่านได้สร้างให้กับวัดนี้ไว้ แต่พระภิกษุผู้ชราชื่อ แพร ซึ่งอยู่ที่วัดสร้อยทอง ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า... พระสมเด็จกรุนี้ ความจริงแล้ว ผู้สร้างคือพระอาจารย์ กุย ซึ่งเป็นศิษย์ของสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อนอีกองค์หนึ่ง ท่านได้สร้างไว้โดยใช้แม่พิมพ์เดิม แต่เนื้อและการลงจารึกด้านหลังจะเล็กผิดกว่ากันมาก

ส่วนเรื่องพระ สมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง นั้นเข้าใจว่าได้มีชาวจีนสร้างเป็นกุศลร่วมลงกรุไว้ที่วัดสร้อยทอง พระพิมพ์นี้จึงมีสีแดง สีแห่งความรุ่งโรจน์ ซึ่งชาวจีนนิยมกันมาก และที่เรียกว่า พิมพ์โต๊ะกัง ก็เห็นจะเป็นเพราะตราด้านหลังคำว่า อรหัง ซึ่งโดยปกติแล้ว จะใช้เหล็กแหลมเขียน แต่พระสมเด็จอรหังสีแดงพิมพ์นี้กลับใช้ตราปั๊มลึกนูน โดยตัวอักขระหนังสือจะนูนขึ้นมาเหมือนกับตราปั๊มของร้านทอง ตั้งโต๊ะกัง ที่ปั๊มติดกับสร้อย เลยเป็นเหตุให้นักเลงพระยุคนั้นเห็นดีเห็นชอบเรียกชื่อพระพิมพ์นี้ว่า พระสมเด็จอรหัง พิมพ์โต๊ะกัง ตั้งแต่นั้นมา

เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าคุณจะมีพระสมเด็จอรหังพิมพ์โต๊ะกังหรือไม่โต๊ะกังก็ตามที ขอให้มีพระองค์พอสวยก็แล้วกัน ถ้าไม่พูดถึงพระพุทธคุณท่านเด็ดในทางมหานิยมอยู่แล้ว ผมขอรับรองว่าคุณ ๆ ที่มีพระพิมพ์นี้ไว้จะยืน ยิ้มแบบโต๊ะกัง ได้อย่างสบายมาก เพราะขณะนี้เขาเสนอราคาเช่ากันองค์ละใกล้แสนหรืออาจจะเลยแสนไปแล้วก็ว่าได้

พุทธคุณของพระสมเด็จอรหัง

สำหรับ เรื่องพุทธคุณการใช้จากผู้ได้ประสบการณ์กับพระสมเด็จพิมพ์นี้มาแล้วนั้นถึง แม้ว่าจะไม่ดังกระฉ่อนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯ หรือสมเด็จบางขุนพรหมก็ตาม ได้มีนักเผชิญโชคผู้ได้มีประสบการณ์อันมหัศจรรย์จากพระสมเด็จอรหังมาแล้ว ถึงกับตื่นตะลึงและหวงแหนกันยิ่งนัก เพราะพระสมเด็จพิมพ์นี้ดีทางเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดเหมือนเช่นพระสมเด็จวัดระฆังฯทุกอย่าง ยกเว้นพระสมเด็จอรหังสีแดงเท่านั้นซึ่งนอกจากจะมีมหานิยมแล้วยังเพิ่มด้าน กระพันชาตรีไว้อีกทางหนึ่งด้วย

เพื่อให้เรื่องพระสมเด็จอรหัง ยอดพระ ต้นสกุลพระสมเด็จ ของ สมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ได้จบลงอย่างสมบูรณ์ ต่อไปนี้ผมจึงขอเสนอเรื่องราวตอนหนึ่งที่คุณ เฉลิม แก้วสีรุ้ง ซึ่งเป็นชาวนนทบุรี ได้เผชิญกับอิทธิปาฏิหาริย์จากพระสมเด็จอรหังจนถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่มา แล้ว เป็นเรื่องทิ้งท้ายไว้ดังต่อไปนี้...

เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ. 2508 คุณเฉลิมมีอาชีพรับซื้อขายผลไม้เป็นประจำอยู่ที่เมืองนนท์ วันหนึ่งมีชาวสวนข้างบ้านมาบอกจะขายทุเรียนส่วนหนึ่งให้ และขอร้องให้ไปดูด่วนด้วย คุณเฉลิมรักทุเรียนมากจนลืมลั่นกุญแจบ้าน และลืมจนกระทั่ง พระสมเด็จอรหัง พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท กับกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินอยู่ในนั้นถึงแปดพันบาทด้วย

คุณเฉลิมมานึก ขึ้นได้ก็เหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้วถึง 3 ชั่วโมง เขาจึงรีบกลับบ้านทันทีแต่ก็ต้องถึงกับตะลึงงันอยู่กับที่เมื่อมาถึงบ้าน เพราะขณะนั้นประตูบ้านได้เปิดอ้า ข้าวของในบ้านถูกรื้อกระจัดกระจายเกลื่อน เสื้อผ้าส่วนหนึ่งและเข็มขัดนาคของภรรยาเขาได้ถูกคนร้ายลักไป แต่...คุณพระช่วย ครับ, คุณพระได้ช่วยคุณเฉลิมไว้อย่างปาฏิหาริย์จริง ๆ ด้วย ที่ว่าปาฏิหาริย์ก็เพราะทั้งสร้อยคอรวมทั้งพระและเงินอีกแปดพันบาท ที่กองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างชนิดที่ใครโผล่เข้าไปในบ้านก็ต้องมอง เห็นได้อย่างถนัดตาทีเดียวนั้น ของดังกล่าวยังคงอยู่ ณ ที่นั้นโดยไม่มีใครมาขยับไปไหนเลย

เรื่องนี้คุณเฉลิมบอกกับผู้เขียน ว่า นั่นคือผลแห่งการแคล้วคลาด อันเกิดจากอิทธิปฏิหาริย์ของพระสมเด็จอรหังได้พรางตาคนร้ายไว้แน่ ๆ หรือถ้าใครว่าไม่แน่ละก้อคนร้ายกลุ่มนั้นก็คงจะตาบอดเท่านั้นเอง

คุณ เฉลิมบอกว่า ขณะนี้ผมได้ย้ายบ้านและเป็นเจ้าของสวนลำไยอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว สาเหตุที่ได้เปลี่ยนอาชีพ จนพอจะมีกินกับเขาบ้างแล้วนี้ ก็เรื่อง พระสมเด็จอรหัง ท่านช่วยผมอีกเหมือนกัน ผมได้อาราธนาบูชาขอโชคลาภท่าน เพื่อขอทุนไปซื้อลำไย ด้วยการไปซื้อลอตเตอรี่ที่จังหวัด 2 ใบ คุณเฉลิมยืนยันว่า ไม่ชอบและไม่เคยซื้อกับเขาเลย นอกจากครั้งนี้เท่านั้น พอถึงเวลาหวยออก ทั้งเขาและภรรยาดีใจจนแทบเป็นลมเป็นแล้งเอาทีเดียว ทั้งนี้ก็เพราะสลากลอตเตอรี่ทั้ง 2 ใบนั้น ใบแรกถูกรางวัลที่ 3 และอีกใบหนึ่งก็ถูกเลขท้าย 3 ตัวด้วย

นี่คือเรื่องราวที่คุณเฉลม แก้วสีรุ้ง ได้เล่าให้กับผู้เขียนฟังเมื่อ พ.ศ. 2512 ซึ่งขณะนั้นเขาและครอบครัวได้ครองเรือนกันอย่างผาสุกด้วยฐานะที่มั่นคงพอ สมควรแล้ว และสิ่งเดียวที่ไม่มีใครมาพรากจากคอเขาได้เลยคือ พระสมเด็จอรหัง เนื้อผงสีขาวองค์เดียวที่เขารักหวงแหนราวกับชีวิตติดตัวเขาอยู่ตลอดเวลาที เดียว

เดี๋ยวนี้เราก็รู้แล้วว่า พระสมเด็จอรหัง นอกจากผู้สร้างจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระบรมราชาจารย์ของในหลวงทั้ง 3 พระองค์แล้ว ยังเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ อีกด้วย และสำหรับด้านพระเครื่องฯ พระสมเด็จอรหัง ก็คือพระต้นสกุลพระสมเด็จทั้งหมด อันเปรียบได้ดั่ง จักรพรรดิพระสมเด็จ ซึ่งเปี่ยมด้วยพุทธาคมมนต์ขลังด้านมหานิยมและแคล้วคลาด จากสมเด็จพระสังฆราชไก่เถื่อน ผู้เลี้ยงไก่ป่าให้เชื่องได้ดังไก่บ้านไว้เต็มลานนั่นเอง

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) วัดมหาธาตุ

[ภาพ: _paragraph_213.jpg] 

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร)  วัดมหาธาตุ

      สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงพระเกียรติคุณเป็นที่เลื่องลือพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์ ทรงพระคุณพิเศษในด้านวิปัสสนาธุระจนมีพระฉายานามอันเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ประชาชนว่า “พระสังฆราชไก่เถื่อน” เพราะทรงสามารถแผ่พรหมวิหารธรรมให้ไก่ป่าเชื่องเป็นไก่บ้านได้

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ (๑) เดือนยี่ ปีฉลู จุลศักราช ๑๐๙๕ พ.ศ. ๒๒๗๖ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ, สันนิษฐานกันว่าคงเป็นชาวกรุงเก่า, ปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อครั้งกรุงธนบุรีเป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม (ในพระราชพงศาวดาร เรียกว่าคลองตะเคียน) ในแขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา ผู้คนนับถือมาก.

ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์, เมื่อได้ทรงจัดการข้างฝ่ายอาณาจักรเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้ทรงพระราชดำริจัดการข้างฝ่ายพุทธจักรเพื่อทำนุบำรุง พระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมโทรมเศร้าหมองเพราะการจลาจลวุ่นวายในบ้านเมืองจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระราชาคณะในตำแหน่งต่างๆตามโบราณราชประเพณี และได้ทรงแสวงหาพระเถระผู้ทรงคุณพิเศษจากที่ต่างๆมาตั้งไว้ในตำแหน่งที่สมควร เพื่อช่วยรับภาระ ธุระทางพระพุทธศาสนาสืบไป และก็ในคราวนี้เองที่ได้ทรง “โปรดให้นิมนต์พระอาจารย์วัดท่าหอย คลองตะเคียน แขวงกรุงเก่า มาอยู่วัดพลับ ให้เป็นพระญาณสังวรเถร” (๒) พระอาจารย์วัดท่าหอยดังกล่าวนี้ก็คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั่นเอง

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ครั้งยังทรงเป็นพระอาจารย์สุก วัดท่าหอย กรุงเก่า, ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงได้โปรดให้นิมนต์มาอยู่ในกรุงเทพฯ และทรงตั้งเป็นราชาคณะที่ พระญาณสังวรเถร ดังกล่าวแล้ว เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นพระฝ่ายอรัญวาสีนิยมความสงบวิเวก จึงได้โปรดให้มาอยู่วัดพลับ อันเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของธนบุรีครั้งนั้น คู่กับวัดรัชฎาธิษฐาน และอยู่ไม่ไกลจากพระนคร, และเพื่อให้สมพระเกียรติที่เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน จึงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดพระราชทานใหม่ในที่ติดกับวัดพลับนั่นเอง, เมื่อสร้างพระอารามใหม่เสร็จแล้ว ก็ได้โปรดฯ ให้รวมวัดพลับเข้าไว้ในเขตของพระอารามใหม่นั้นด้วย แต่ยังคงใช้ชื่อว่าวัดพลับดังเดิม, ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ จึงได้พระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดราชสิทธาราม ดังที่ปรากฏสืบมาจนบัดนี้, บริเวณอันเป็นวัดพลับเดิมนั้นอยู่ด้านตะวันตกของวัดราชสิทธารามปัจจุบันนี้.(๓)

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นอันมากของพระบรมราชวงศ์มาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ปรากฏนามพระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์แทบทุกพระองค์ นับแต่คราวทรงผนวชพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร เป็นต้นมา ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารดังนี้

(๑) พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) (๔) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระญาณสังวรเถร เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ทรงผนวชแล้ว วันแรกเสด็จประทับที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีการฉลองเสร็จแล้ว จึงเสด็จไปประทับ ณ วัดสมอราย (คือวัดราชาธิวาสในปัจจุบัน)

(๒) พ.ศ. ๒๓๓๗ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๒ แต่ครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่ ๑ (พระนามเดิม จุ้ย) ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) (๕) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์. (๖)

(๓) พ.ศ. ๒๓๓๘ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (พระนามเดิม บุญมา) ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวรเถร วัดพลับ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระธรรมกิตติ เป็นพระอนุสาวนาจารย์.(๗)

(๔) พ.ศ. ๒๓๔๕ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอกรมพระราชวังหลัง ในรัชกาลที่ ๑ (เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ พระนามเดิม ทองอิน) ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์.(๘)

(๕) พ.ศ....... พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ ในรัชกาลที่ ๑ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ พระญาณสังวรเถร (สุก) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระพุทธโฆษาจารย์(ขุน) วัดโมลีโลกยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์.(๙)

(๖) พ.ศ. ๒๓๖๐ ในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สมเด็จพระญาณสังวร(สุก) เป็นพระราชอุปัธยาจารย์.(๑๐) แต่ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ ว่า สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธารามเป็นพระอาจารย์ (๑๑) ซึ่งกลับกันเป็นตรงกันข้าม

ในเรื่องนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง ความทรงจำ ว่า

‘พิเคราะห์ตามเหตุการณ์ น่าจะกลับกันกับที่กล่าว (ในพระราชพงศาวดาร) คือสมเด็จพระญาณสังวรเป็นพระอุปัชฌาย์และสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอาจารย์ถวายศีล เพราะสมเด็จพระญาณสังวรเป็นผู้มีอายุพรรษามาก นั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช (มี) ทั้งเป็นที่เคารพนับถือของพระราชวงศ์มาแต่ในรัชกาลที่ ๑ แม้สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็เป็นศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวรมาแต่ก่อน น่าจะได้เป็นพระอุปัชฌาย์

และยังมีหลักฐานประกอบอีกอย่างหนึ่ง ด้วยถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์ขึ้น ๒ องค์ เป็นคู่กัน อยู่ที่ลานหน้าวัดราชสิทธาราม (อันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระญาณสังวร) องค์หนึ่งขนานนามว่า ‘พระศิราศนเจดีย์’ ทรงอุทิศในพระนามของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกองค์หนึ่งมีนามว่า ‘พระศิรจุมภฏเจดีย์’ เป็นพระบรมราชูทิศในพระนามของพระองค์เองยังปรากฏอยู่ ตรัสว่าเพราะได้เคยเป็นศิษย์สมเด็จพระญาณสังวรมาด้วยกันทั้ง ๒ พระองค์’.(๑๒)

ในรัชกาลที่ ๒ โปรดให้สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร มีสำเนาประกาศที่ทรงตั้ง ดังนี้

‘ศรีศยุภมัศดุ ฯ ล ฯ ลงวันพฤหัสบดี เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ (ปีชวด พ.ศ. ๒๓๕๙) ให้พระญาณสังวรขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร อดิสรสังฆเถรา สัตวิสุทธิจริยาปรินายก สปิฎกธรามหาอุดมศีลอนันต์ อรัญวาสี สถิตย์ในราชสิทธาวาศวรวิหาร พระอารามหลวง ให้จาฤกกฤตฤกาลอวยผลพระชนมายุศม ศรีสวัสดิพิพัฒนมงคล วิมลทฤฆายุศม ในพระพุทธศาสนาเถิด’ (๑๓)

สมเด็จพระญาณสังวรได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในปีเดียวกันกับสมเด็จพระสังฆราช (มี) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และนั่งหน้าสมเด็จพระสังฆราช ‘ด้วยได้เห็นบัญชีนิมนต์พระสวดมนต์ในสวนขวา (๑๔) มีนามสมเด็จพระญาณสังวรอยู่หน้าสมเด็จพระสังฆราช เห็นจะเป็นด้วยมีพรรษาอายุมากกว่า’ (๑๕) สมเด็จพระญาณสังวรได้รับพระราชทานพัดงาสาน ซึ่งโปรดให้ทำวิจิตรกว่าพัดสำหรับพระราชาคณะสมถะสามัญ.(๑๖)

สำหรับวัดพลับ หรือวัดราชสิทธารามนั้น นับแต่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้มาอยู่ครองแต่ครั้งยังทรงเป็นที่ พระญาณสังวรเถรแล้ว ก็ได้กลายเป็นสำนักปฏิบัติทางวิปัสสนาธุระที่สำคัญ ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ใน เรื่องประวัติวัดมหาธาตุ ว่า “ในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ วัดอรัญวาสีที่สำคัญ ก็คือวัดสมอราย ๑ กับวัดราชสิทธาราม ๑” (๑๗) และพระเกียรติคุณในทางวิปัสสนาธุระของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น คงเป็นที่เคารพนับถือทั้งในฝ่ายเจ้านายในพระบรมราชวงศ์และในหมู่ประชาชนทั่วไป จึงได้ทรงเป็นพระราช อุปัธยาจารย์และเป็นพระอาจารย์ของพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์หลายพระองศ์ ดังได้กล่าวมาแล้ว

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระเจ้าหลานเธอใน รัชกาลที่ ๑ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ก็ได้เสด็จมาประทับทรงบำเพ็ญเนกขัมมปฏิบัติ และทรงศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามนี้เป็นเวลา ๑ พรรษา โดยมีพระตำหนักสำหรับทรงบำเพ็ญสมาธิกรรมฐานโดยเฉพาะเรียกว่า พระตำหนักจันทน์  ซึ่งสมเด็จพระบรมราชนกนาถ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ทรงสร้างถวาย ยังคงมีอยู่สืบมาจนบัดนี้.(๑๘)

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า มงกุฎฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในรัชกาลที่ ๒ ก็ได้เสด็จไปประทับศึกษาวิปัสสนาธุระในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณสังวรเถร ณ วัดราชสิทธารามเช่นกัน ดังที่พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายไว้ใน เรื่องวัดสมอรายอันมีนามว่า ราชาธิวาส ว่า

“ได้ทรงประทับศึกษาอาจาริยสมัยในสำนักวัดราชาธิวาส ทรงทราบเสร็จสิ้นจนสุดทางที่จะศึกษาต่อไปอีกได้ จึงได้เสด็จย้ายไปประทับอยู่ ณ วัดราชสิทธาราม คือวัดพลับ ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญเชี่ยวชาญในการวิปัสสนาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชในที่นั้น แต่หาได้ประทับประจำอยู่เสมอ ไม่เสด็จไปอยู่วัดพลับบ้าง กลับมาอยู่สมอรายบ้าง เมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงทรงสร้างพระศิรจุมภฏเจดีย์ไว้เป็นคู่กันกับพระศิราศนเจดีย์ ที่ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสำคัญว่า เคยเสด็จ ประทับศึกษา ณ สำนักอาจารย์เดียวกัน.” (๑๙)

เกี่ยวกับราชประเพณีนิยมทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ ของเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ที่ทรงผนวชนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีพระอธิบายไว้ว่า

“อนุโลมตามราชประเพณีครั้งกรุงเก่า ดังเช่น สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงผนวชแล้วเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดประดู่นั้นเป็นตัวอย่าง ด้วยเป็นวัดอรัญวาสี อยู่ที่สงัดนอกพระนคร เพราะการศึกษาธุระในพระศาสนามีเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายคันถธุระต้องเล่าเรียนพระปริยัติธรรมโดยมคธภาษา อันต้องใช้เวลาช้านานหลายปี ไม่ใช่วิสัยผู้ที่บวชอยู่ชั่วพรรษาเดียวจะเรียนให้ตลอดได้ แต่วิปัสสนาธุระอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นการฝึกหัดใจในทางสมถภาวนา อาจเรียนได้ในเวลาไม่ช้านัก และถือกันอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าชำนิชำนาญในทางสมถภาวนาแล้ว อาจจะนำคุณวิเศษอันนั้นมาใช้ในการปลุกเศกเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ตลอดจนในวิชา พิไชยสงครามได้ในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ เจ้านายที่ทรงผนวชมาแต่ก่อนจึงมักเสด็จไปประทับอยู่ ณ วัดอรัญวาสี เพื่อทรงศึกษาภาวนาวิธี.” (๒๐)

                นัยว่าการศึกษาวิปัสสนาธุระ ของสำนักวัดราชสิทธาราม ในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก)  ทรงครองวัดอยู่นั้นเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะผู้ครองวัดทรงเชี่ยวชาญและมีกิตติคุณในด้านนี้เป็นที่เลื่องลือ. ครั้นสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช และเสด็จมาสถิต ณ วัดมหาธาตุแล้ว การศึกษาวิปัสสนาธุระแม้จะยังมีอยู่ ก็ไม่รุ่งเรืองเท่ากับสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ยังทรงครองวัดนั้นอยู่.(๒๑)

                พ.ศ. ๒๓๖๒ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สิ้นพระชนม์, พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) เป็นสมเด็จพระสังฆราช แล้วโปรดให้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เดิมทรงพระราชดำริที่จะตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกศ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ถึงได้แห่มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ เดือน ๔ ปีเถาะ เอกศกนั้นแล้ว แต่เมื่อปีมะโรง โทศก ข้างต้นปี เกิดอหิวาตกโรคมาก ยังไม่ทันจะได้ทรงตั้งสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช, ถึงเดือน ๑๑ มีโจทก์ฟ้องกล่าวอธิกรณ์สมเด็จพระพนรัตน (อาจ) ว่าชอบหยอกเอินศิษย์หนุ่มด้วยกิริยาที่ไม่สมควรแก่สมณะ ชำระได้ความเป็นสัตย์ อธิกรณ์ไม่ถึงเป็นปาราชิก จึงเป็นแต่ให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระราชาคณะ และเนรเทศไปจากพระอารามหลวง. (๒๒) ตำแหน่งพระสังฆราชนั้น ทรงพระราชดำริว่า สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม เป็นสมเด็จพระราชาคณะผู้ใหญ่และได้เป็นพระอาจารย์ เป็นที่เคารพในพระราชวงศ์ จึงโปรดให้แห่สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) มาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เมื่อ ณ วันพฤหัสบดีเดือน ๑๒ ขึ้น ๔ ค่ำ ครั้งถึง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๑ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีมะโรง โทศก จุลศักราช ๑๑๘๒ พ.ศ. ๒๓๖๓ จึงทรงตั้งสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระประวัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

เรื่องประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อันเนื่องด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า ท่านได้เล่าเรียนในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) เปรียญเอก วัดระฆัง เป็นพื้น และได้เล่าเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุบ้าง นอกจากนี้จะได้เล่าเรียน ที่ใดอีกบ้าง หาทราบไม่ เล่าว่าเมื่อเป็นนักเรียนท่านมักได้รับคำชมเชยจากครูบาอาจารย์เสมอว่ามีความทรงจำดี ทั้งมีปฏิภาณอัดยอดเยี่ยม ดังมีเรื่องเล่าขานกันว่าเมื่อท่านเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น ก่อนจะเรียนท่านกำหนดว่า วันนี้ท่านจะเรียนตั้งแต่นี่ถึงนั่น ครั้นถึงเวลาเรียนท่านก็เปิดหนังสือออกแปลตลอด ตามที่กำหนดไว้ท่านทำดังนี้เสมอ จนสมเด็จพระสังฆราชรับสั่งว่า "ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก" ยังมีข้อน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านเรียนรู้ปริยัติธรรมแต่ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญ (ในสมัยก่อนนั้น การสอบพระปริยัติธรรมไม่ได้ออกเป็นข้อสอบเหมือนทุกวันนี้ การสอบในครั้งนั้นต้องสอบพระปริยัติธรรมต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นการสอบด้วยปากเปล่า สุดแต่ผู้เป็นประธานกรรมการ และกรรมการจะสอบถามอย่างใด ต้องตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็หมายความว่าตกเพียงแค่นั้น)

        พระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือสมเด็จพระสังฆราช "ไก่เถื่อน” (สุก) (สมเด็จพระสังฆราช (สุก) พระองค์นี้ เดิมอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม ในแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑) เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอาราธนามาตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวร ด้วยทรงเห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่นับถือของชนทั้งหลาย ถึงกับกล่าวกันว่า ทรงไว้ซึ่งเมตตาพรหมวิหารแก่กล้าถึงกับสามารถเลี้ยงไก่เถื่อน ให้เชื่อง ได้เหมือนไก่บ้าน ทำนองเดียวกับที่สรรเสริญพระสุวรรณสาม โพธิสัตว์ในเรื่อชาดก ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๓ คนทั้งหลายจึงพากันถวายพระฉายานามว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" และได้เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุเพียง ๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ทรงพระชันษาได้ ๙๐ เมื่อถวายพระเพลิงศพแล้ว โปรดฯ ให้ปั้นรูปบรรจุอัฐิไว้ในกุฏีหลังหนึ่ง ด้านหน้าพระอุโบสถ     อัจฉริยภาพ ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้น เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับการศึกษามาจากพระอาจารย์พระองค์นี้ กล่าวคือ พระวัดพลับ ของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นี้ (สร้างตอนดำรงสมณศักดิ์เป็นพระญาณสังวร ครองวัดพลับ  วัดนี้อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งเหนือ จังหวัดธนบุรี เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ตัววัดเดิมอยู่ทางด้านริม เดี๋ยวนี้ค่อนไปทางตะวันตก ) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอาราธนา พระอาจารย์สุก (สังฆราชไก่เถื่อน) มาจากวัดหอย จังหวัดพระนาคศรีอยุธยานั้น ท่านขออยู่วัดอรัญญิก จึงโปรดให้อยู่วัดพลับแล้วสร้างพระอารามหลวงเพิ่มเติมขยายออกมาอีก สมเด็จพระญาณสังวรนี้ ทรงเป็นพระอาจารย์ทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระเจ้านายมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ดี ล้วนเคยศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ทั้งนั้น ที่วัดนี้ยังมีตำหนักจันทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อทรงผนวช นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังโปรดให้ซ่อมพระอาราม แล้วพระราชทานเปลี่ยนนามวัดเสียใหม่ว่า "วัดราชสิทธาราม" ถึงในรัชกาลที่ ๔พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ ทรงเครื่องไว้ข้างหน้าพระอาราม ๒ องค์ ๆ หนึ่งนามว่า "พระศิราศนเจดีย์" (พระเจดีย์องค์นี้ทรงอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ อีกองค์หนึ่ง ทรงขนานนามว่า "พระศิรจุมภฎเจดีย์" (พระเจดีย์พระองค์นี้ทรงสร้างเป็นส่วนพระองค์เอง ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ได้เคยมาทรงศึกษาพระวิปัสสนา ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) )เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า มีลักษณะของเนื้อ เหมือนเนื้อของพระสมเด็จฯ (ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ) ที่สุด แต่พระวัดพลับมีอายุในการสร้างสูงกว่าพระสมเด็จฯ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เอาแบบอย่างส่วนผสมผสานมาดัดแปลง และยิ่งพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงหลังเบี้ยด้วยแล้วก็ยิ่งสังเกตได้ว่า ดัดแปลงเค้าแบบมาจากพระวัดพลับทีเดียวอนึ่ง การทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา อันเป็นที่รักแห่งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีคุณลักษณะคล้ายคลึงสมเด็จพระสังฆราชพระอาจารย์พระองค์นี้มาก เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความเลื่อมใสและเจริญรอยตามพระอาจารย์แทบทุกอย่าง................
พระประวัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพระเครื่อง

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

การสร้างพระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆัง

ประวัติการสร้างพระสมเด็จ 
             หลวงปู่นาคท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ อยู่ในวัยแปดสิบเศษ    รูปร่างหน้าตา   เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา และมีศีลจริยาวัตรงดงาม    ประพฤติธรรมอยู่เป็นเนืองนิจ มีอิทธิจิตในระดับที่สูง    ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือกันอย่างกว้างขวางว่าหลวงปู่นาคทรงความ
ศักดิ์สิทธิ์    ดังนั้นพระสมเด็จที่ปลุกเสกโดยหลวงปู่นาคจึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
            ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือหลวงปู่นาคท่านทำพระสมเด็จอยู่เสมอตามความจำเป็น     และความต้องการของญาติโยม แต่เป็นการทำไปเรื่อย ๆ     ตามแต่สะดวกและความพร้อมของผู้ทำคือบรรดาเด็กวัดและพระเณรในคณะหนึ่ง ไม่ได้จัดตั้งเป็นการพิธีใหญ่และทำพระเป็นจำนวนมาก ๆ    เพื่อจำหน่ายเป็นพุทธพาณิชย์ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
            วันไหนมีการทำพระสมเด็จ    ท่านเจ้าคุณใหญ่หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำกุฏิใหญ่ก็จะผสมผงมาแล้วเสร็จ ใส่ในกาละมังบ้าง ในถังบ้าง     และให้บรรดาพระเณรรวมทั้งเด็กวัดช่วยกันพิมพ์พระที่บริเวณชั้นล่างด้านหน้า ของกุฏิใหญ่
            การทำพระสมเด็จของหลวงปู่นาค    จะใช้ผงปูนปลาสเตอร์เป็นพื้น ผสมกับผงพระเก่าที่เหลือจากการทำรุ่นก่อน ๆ สืบทอดกันมา     เหมือนกับน้ำมนต์ในวิหารสมเด็จที่ใช้น้ำใหม่เติมน้ำมนต์ในโอ่งที่ทำมา ตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จ
            นอกจากนี้   ยังใช้ผงธูปจากกระถางธูปในโบสถ์ ผงตะไคร่น้ำจากพระปรางค์และพระเจดีย์ในวัดระฆัง แม้กระทั่งดอกไม้สำหรับบูชาพระประธานในโบสถ์มาตากแห้งแล้วบดเป็นผง     และใช้ข้าวก้นบาตรรวมทั้งกล้วยซึ่งบดทั้งเปลือกเป็นส่วนผสมด้วย
            เมื่อผสมผงได้ที่ตามตำรับเก่าแก่ของวัดระฆังแล้ว     ก็จะพิมพ์ลงในแบบพิมพ์พระซึ่งแกะสลักในแผ่นไม้ บางแผ่นก็มีพิมพ์พระหนึ่งองค์     บางแผ่นก็สอง หรือสาม หรือห้าองค์ ตามแบบต่าง ๆ ที่วัดระฆังเคยทำมา     และทรงอันเป็นที่นิยมมากก็คือแบบพิมพ์ทรงพระประธานทรงใหญ่
            ในบรรดาเด็กวัดที่ช่วยกันทำพระสมเด็จนั้น    ก็มีโอฬารหัวหน้าเด็กวัดคณะหนึ่งเป็นเจ้ากี้เจ้าการควบคุมเด็กวัด แต่ก็ยังมีพระผู้ใหญ่คอยควบคุมดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง
            พระที่พิมพ์ก็จะเป็นพระสมเด็จซึ่งเรียกกันว่าพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่ นาค     มีทั้งทรงพิมพ์ใหญ่ ทรงเจดีย์ ทรงปรกโพธิ์ และอีกหลายแบบสุดแท้แต่แม่พิมพ์ที่พระผู้ควบคุมการจัดทำจะจัดมาให้ทำ
            วันไหนพิมพ์พระได้เท่าใดก็จะมีการนับจำนวนทวนสอบจนตรงกัน     แล้วพระเถระผู้ควบคุมการทำพระก็จะยกเอาถาดใส่พระซึ่งพิมพ์เสร็จแล้วขึ้นไป ข้างบน    เพราะหลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการปลุกเสกตามแบบฉบับและกรรมวิธีของวัด ระฆังที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
            พระสมเด็จเหล่านั้นจะถูกนำไปบรรจุกล่องและวางไว้ในห้องพระของท่านเจ้าคุณ ใหญ่ซึ่งเป็นห้องโถงอยู่ชั้นบนของกุฏิใหญ่นั้น    จากนั้นก็จะมีการวนสายสิญจน์จากพระประธานของห้องพระ  วนลงมาเวียนรัดรอบกล่องพระนั้นจนครบถ้วนทุกกล่อง
            ทุกวันหลังจากหลวงปู่นาคท่านสวดมนต์ไหว้พระแล้ว    ท่านก็จะเข้าสมาธิภาวนาพระคาถาชินบัญชร    แล้วเพ่งพลังจิตและอธิษฐานจิตตามกรรมวิธีปลุกเสกพระสมเด็จวัดระฆัง     และจะเพิ่มเวลาทำสมาธิภาวนาแผ่พลังจิตมากขึ้นสำหรับวันพระและถ้าเป็นห้วง เวลาในเทศกาลเข้าพรรษาก็ยิ่งเพิ่มเวลามากขึ้นไปอีก
            บางครั้งหลวงปู่นาคก็จะให้นิมนต์พระสงฆ์ในคณะหนึ่งมาสวดพระปริตรและสวดพระ คาถาชินบัญชรปลุกเสกพระด้วย    และบางทีในวันพระใหญ่คือวันขึ้น 15 ค่ำและวันมหาปาวารนา    หลวงปู่นาคก็จะให้พระขนกล่องพระสมเด็จเข้าไปในโบสถ์    วนสายสิญจน์มาจากพระประธานมายังกล่องพระ
            ในบางทีเมื่อมีงานบวชหลวงปู่นาคก็จะให้ขนกล่องพระเข้าไปในโบสถ์ด้วย    นัยว่าการสวดญัตติจตุตถกรรมนั้นในอุปสมบทพิธีนั้นมีผลมากต่อการปลุกเสกพระ เครื่องให้เป็นพระ.
            พระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคทรงความศักดิ์สิทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ เลื่องชื่อลือกระฉ่อน    มาตั้งแต่ครั้งที่หลวงปู่นาคยังมีชีวิตอยู่     และเมื่อท่านเจ้าคุณสิ้นบุญไปแล้วพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นหลวงปู่นาคก็ยิ่งมาก ค่าและหาได้ยากขึ้นทุกที
         พระสมเด็จแท้ที่หลวงปู่นาคทำนั้น    เป็นการทำเพื่อหาเงินมาบูรณะพัฒนาวัดระฆังซึ่งเสื่อมทรุดต่อเนื่องมาแต่อดีต ศาสนสถานทั้งหลายภายในวัดทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด     จะมัวรอเงินจากผ้าป่ากฐินศาสนสถานก็คงพังพินาศหมดสิ้น เพราะเหตุนี้หลวงปู่นาคท่านจึงคิดอ่านทำพระสมเด็จขึ้นเป็นอภินันทนาการแก่ ผู้ที่มาทำบุญกับวัด
            พระที่หลวงปู่นาคปลุกเสกเสร็จแล้วได้มอบไว้    แก่พระลูกศิษย์ซึ่งจะทำบัญชีจำหน่ายสำหรับผู้ใจบุญที่มาทำบุญกับวัด   โดยหลวงปู่นาคมิได้จับต้องถือเงินหรือเก็บเงินไว้ด้วยองค์ท่านเองเลย
            ผงที่เหลือจากการทำพระแต่ละคราวก็จะเก็บใส่กะละมังไว้ แล้วขนขึ้นไปไว้บนกุฏิหลวงปู่นาค ซึ่งท่านมักจะวางไว้ข้างๆ โต๊ะหมู่บูชา
            พระที่ผ่านการทำและผ่านการปลุกเสกดังกล่าวนี้     หากถึงคราววันมหาปวารณาช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่ก็มักจะให้พระลูกศิษย์นำไปไว้ใน โบสถ์ วางไว้หน้าพระประธาน     โดยมีการนับจำนวนอย่างเข้มงวด ครั้นพ้นวันมหาปวารณาแล้วหลวงปู่นาคก็ให้นำพระเหล่านั้นกลับไปเก็บไว้ที่ กุฏิของท่านดังเก่า    ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะหลวงปู่นาคท่านรู้กรรมวิธีว่าวันเวลาและการใดที่จะ อาศัยพลังแห่งความบริสุทธิ์และพลังอำนาจจิตของคณะสงฆ์เข้าเสริมพลังจิตที่ ท่านเจ้าคุณได้ปลุกเสกไว้แต่เดิม
            พระสมเด็จวัดระฆังที่ผ่านกระบวนการจัดทำและกระบวนการปลุกเสกตามตำรับที่สืบ ทอดกันมาตั้งแต่ครั้งยุคสมัยเจ้าประคุณสมเด็จนั้นจึงเป็นที่หวังและเป็นที่ วางใจกันโดยทั่วไปว่าทรงไว้ซึ่งพุทธคุณ     มีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถปกป้องคุ้มครองภยันตรายทั้งปวงได้    และเป็นเครื่องส่งเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ผู้มีความศรัทธาในตัวท่านหลวง ปู่


 วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมและวงการพระรู้จักกันดี
              
                พระเนื้อผงรุ่นแรก สร้างปี 2485  ประกอบด้วยพิมพ์ทรงเทวดาอกตัน-อกร่อง  เทวดาขัดเพชร  และพิมพ์สามเหลี่ยม พิมพ์ปรกโพธิ์  พิมพ์ ขาโต๊ะ  และอีกหลายพิมพ์ที่ไม่ได้กล่างถึง กล่าวเฉพาะพิมพ์ที่นิยม วงการรู้จักพอสมควร
              
             พระ เนื้อผงรุ่นสอง สร้างปี 2495  ประกอบด้วยพิมพ์สมเด็จโต นั่งบริกรรม  พิมพ์ปรกโพธิ์  ฝังและไม่ฝังตะกรุด  พิมพ์พระประธาน ฝังและไม่ฝังตะกรุด  นางพญา พิมพ์พระประจำวัน   คะแนนฐานสิงห์  รูปหล่อ  เหรียญโล่  และเหรียญข้าวหลามตัด   นอกจากนี้ยังมีอีกหลายรุ่น สร้างในปี พ.ศ.2499,2500,,2504,2507,2509  และรุ่นสุดท้ายคือรุ่นแซยิด 7 รอบ ปี 2511 และอีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึง จะกล่าวเฉพาะพิมพ์ที่นิยม หรือพิมพ์ที่วงการรู้จักกันพอสมควรครับ     
พุทธคุณและประสพการณ์ที่เล่าต่อกันมา
            
          พุทธคุณในพระของหลวงปู่นาค มีทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน เรียกว่าครอบจักวาล  ซึ่งพลังจิตของท่านเป็นรัศมีทองคำ

ตัวอย่างที่มีประสพการณ์

เช่น  มีทหารมาขอพระของท่านไปลองยิงที่ต้นมะตูมหน้าวัดระฆัง  โดยเอาไปพระไปแแขวนไว้แล้วเอาปืน ยู.เอส ของทหาร  ลองยิงปรากฎว่ายิงไม่ออก  ทหารที่ไปลองนึกว่ากระสุนด้านจึงหันกระบอกไปทางอื่นปรากฏว่าปืนยิงลั่นดัง สนิน  ทหารทั้ง 2 นายจึงไปขอขมากับหลวงปู่  ทำใ้ห้คนแตกตื่นไปกันแน่นกุฎิหลวงพ่อ   มีทั้งหารบก  ทหารอากาศ   และตำรวจ และประชาชนอีกมากมาย  ขนาดเรียกว่าพระพิมพ์ยังไม่ทันแห้งก็มายืนรอรับกันทีเดียวครับ.

           พระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆัง     เป็นพระสมเด็จที่มีส่วนผสมของเศษแตกหักของสมเด็จวัดระฆังที่ท่านได้เก็บรวบ รวมไว้เป็นจำนวนมาก    จากการที่มีประชาชนนำเศษแตกหักของพระสมเด็จมาทิ้งไว้ที่วัดและการค้นพบพระ สมเด็จจำนวนมากบนหลังคาโบสถ์วัดระฆัง    ซึ่งท่านได้นำพระสมเด็จที่แตกหักทั้งหมดร่วมกับการสร้างผงพุทธคุณของท่านตาม ตำรับของสมเด็จโต     ทำให้พระสมเด็จของท่านโดยเฉพาะพระในยุคต้น ๆ ช่วงปี 2485-2495 มีเนื้อหามวลสารจัดจ้านน่าบูชายิ่งนัก     ซึงนับว่าเป็นพระตระกูลสมเด็จที่มีเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จวัดระฆังผสมไว้ มากที่สุด    มากกว่าสำนักอื่นที่ท่านได้มอบบางส่วนไปผสมผงสร้างพระให้วัดอื่น   เช่น สมเด็จนายเผ่า วัดอินทรวิหาร ปีั 95
แต่ เนื่องจากท่านได้สร้างพิมพ์ทรงของพระสมเด็จต่าง ๆ ไว้มากมาย      ในวงการจึงนิยมเล่นหากันเฉพาะพิมพ์นิยมบางพิมพ์ของท่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวใครเห็นก็ทราบว่าเป็นพระของท่าน เ   ช่น พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ชิ้นฟัก พิมพ์รูปเหมือนสมเด็จโต พิมพ์ซุ้มระฆัง เป็นต้น ส่วนพิมพ์อื่น ๆ ไม่ค่อยนิยมเช่าหากัน    สำหรับพระสมเด็จของท่านที่มีเนื้อหาจัดจ้าน   แก่ผงพระสมเด็จ หรือ มีการฝังตะกรุดไว้เป็นพิเศษ ตั้งแต่ 1ดอก 2 ดอก หรือ 3 ดอก   จะหาได้ยากมากและเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก      โดยจะเช่าหากันในราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า
เป็น ที่น่าแปลกใจมากพระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆังไปมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นอย่างมาก        ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากประเทศดังกล่าวมากว้านซื้อกลับไปยังประเทศของตน เป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนพระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆังในปัจจุบัน มีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก       พระเก๊และพระยัดวัดจึงมีมากมาย  ถึงแม้ว่าพระของท่านราคาอาจยังไม่แพง    แต่อนาคตน่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผสมผงเก่าสมเด็จโตและปลุกเสกอย่างพิถีพิถัน     อีกทั้งประสพการณ์และพุทธคุณของท่านก็ครบเครื่องครอบจักรวาล

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม หลวงปู่นาค วัดระฆัง


                                       
  พระองค์ที่ 1พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆังพิมพ์รูปเหมือนะสมเด็จโต พิมพ์ใหญ่ 
                                                หลังยันต์ นิยมปี 2495

 พระองค์ที่ 2พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆังพิมพ์รูปเหมือนสมเด็จโต พิมพ์ใหญ่ 
                     หลังยันต์ นิยม ปี 2495 สภาพสวยมาก ยันต์ชัดลึก
 

พระองค์ที่ 3พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์รูปเหมือนะสมเด็จโต พิมพ์กลาง
                                                        หลัง  เรียบ ปี 2495 สภาพสวยมาก

พระองค์ที่ 4พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์รูปเหมือนะสมเด็จโต พิมพ์กลาง 
                                                                          หลังเรียบ ปี 2495

พระองค์ที่ 5 พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์รูปเหมือนะสมเด็จโต พิมพ์กลาง หลังเรียบ ปี 2495

พระองค์ที่ 6พระคะแนนพันหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์รูปเหมือนสมเด็จโต พิมพ์เล็ก ปี 2495

พระองค์ที่ 7 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ ปี 85 นิยม สภาพสวย 2495

พระองค์ที่ 8พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ใหญ่ ปี 85 นิยม ปี 85 เนื้อจัดมาก

                พระองค์ที่ 9 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรก
          โพธิ์ใหญ่ ปี 85 นิยม ปี 85 เนื้อจัดมาก

พระองค์ที่ 10 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ กลาง ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 11 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ กลาง ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 12 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ กลาง ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 13 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ กลาง ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 14 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์กลาง ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 15 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 16 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 17 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรก
โพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 18 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 19 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 20 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ปรกโพธิ์ เล็ก ปี 85 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 21 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 22 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 23 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์
เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 24 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 25 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 26 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี ปี 95 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 27 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 85 นิยม สภาพสวย
พระองค์ที่ 28 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 2500 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 29 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 2500 นิยม สภาพสวย

พระองค์ที่ 30 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 2500 นิยม สภาพสวย


พระองค์ที่ 31 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 2500 นิยม สภาพสวย

 

พระองค์ที่ 32 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์เทวดาหูบายศรี ปี 85 นิยม สภาพสวย
 

พระองค์ที่ 33 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง พิมพ์สามชั้นฐานหมอน ปี 85 นิยม สภาพสวย



 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 พระองค์ที่ 34 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆังพิมพ์นางพญาฐานหมอน ปี 95 นิยม สภาพสวย
 

 
 
พระองค์ที่ 35 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆังพิมพ์สังขจาย ปี  95 นิยม สภาพสวย
 
 
2.ชุดพระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง ยอดนิยม
ชนิดพิเศษฝังตะกรุด 1 ดอก 2 ดอก และ 3 ดอก
 
 
                           พระสมเด็จหลวงปู่นาควัดระฆัง  ชนิดพิเศษ  ได้แก่ พระสมเด็จของท่านที่ทำการฝังตะกรุดมหาเมตตา มีการฝังตะกรุดไว้เป็นพิเศษ ตั้งแต่ 1ดอก 2 ดอกหรือ 3 ดอก จะหาได้ยากมากและเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยจะเช่าหากันในราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า ปัจจุบัน  พ.ศ.  2554 ค่านิยมของพระสมเด็จหลวงปู่นาควัดระฆังมีค่านิยมสูงมากกว่าเดิมมาก  ราคาพระสมเด็จของท่านในแผงจรเล็ก ๆในตลาดพระ  ได้มีการเปิดราคาในหลักพันต้น ถึง หลักพันกลาง  ดังนั้นสำหรับพระสมเด็จชุดพิเศษฝังตะกรุดนี้  ค่านิยมอยู่ในหลักพันกลาง ๆ ถึงหมื่นต้น  โดยเฉพาะองค์ที่มีตะกรุดสามดอก  ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด  ข้อสังเกตสำคัญสำหรับตะกรุดของหลวงปู่นาคถ้าเป็นตะกรุดทอง ต้องเป็นทองแท้  ตะกรุดเงิน ต้องเป็นเงินแท้  และตะกรุดทองแดง  ก็ต้องเป็นทองแดงแท้  ถ้าเจอตะกรุดทองแล้วไม่ใช่ทองแท้สงสัยกันว่าเป็นตะกรุดปลอม พระปลอมครับ
 
 
 
พระองค์ที่ 1  พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ปรกโพธิ์ ปี 95 ฝังตะกรุด 3 ดอก  นิยมมาก สภาพสวย เนื้อจัด
 
 
 
พระองค์ที่ 2 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์เทวดาสามชั้นต้อ ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย เนื้อจัด
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 3 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ชื้นฝักสามชั้น ปี 85 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย เนื้อจัดมากแก่ผงวัดระฆัง
 
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 4 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ชื้นฝักสามชั้น ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย
 
 
 
 
พระองค์ที่ 5 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์เทวดาสามชั้น ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย เนื้อจัด

 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 6 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ชื้นฝักฐานแซม ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย
 
 
 
พระองค์ที่ 7 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์รูปเหมือนสมเด็จโต ปี 95 ฝังตะกรุด 3 ดอก  นิยม สภาพสวย หายาก
 
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 8 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ซุ้มระฆัง ปี 95 ฝังตะกรุด 1 ดอก  นิยม สภาพสวย
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 9 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ชื้นฝักสามชั้น ปี 95 ฝังตะกรุด 3 ดอก  นิยม
 
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 10   พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์เทวดาสามชั้น ปี 95 ฝังตะกรุด 3 ดอก  นิยม 
โปรดสังเกตลักษณะของตะกรุดทองคำซึ่งเป็นทองคำจริงสุกปลั่งมาก
 
 
 
 
 
พระองค์ที่ 11 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์ชิ้นฝักสามชั้น ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย เนื้อจัด
 
 
 
 
 
 
พระองค์ที่  12 พระสมเด็จหลวงปู่นาค วัดระฆัง
พิมพ์เทวดาสามชั้นต้อ ปี 95 ฝังตะกรุด 2 ดอก  นิยม สภาพสวย เนื้อจัด
 
 
 
พระสมเด็จพิมพ์พิเศษที่หายากของวัดระฆัง
พระสมเด็จวัดระฆัง พิมพ์พระประธานสามชั้น
เนื้อไม้เสาเอกกุฏิ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
จัดสร้างโดย หลวงปู่หิน  วัดระฆัีง  พ.ศ. 2512
 
 
 
 
 
 
 
       สมเด็จวัดระฆังไม้เสาเอก กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี  พิมพ์นิยมพระประธาน 3 ชั้น หลวงปู่หิน ตอกโค้ดเลข 495 เป็นวัตถุมงคลล้ำค่าของวัดระฆัง ที่จัดสร้างขึ้นด้วย "ไม้เสาเอก" กุฏิของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งพบว่า จมอยู่ในดินภายในบริเวณคณะ 7 (เดิมนั้น ยังพอมีเค้าให้เห็นทั้งกุฏิ อู่เรือ และบ่อน้ำมนต์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต หลงเหลือยืนยันให้เห็นอยู่)โดยหลวงปู่หินท่านเห็นว่า "ไม้เสาเอก" กุฏิของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น ซึ่งมีอายุนับร่วม 100 กว่าปี เป็น "เสาเอก" ที่อยู่ใน กุฏิของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นที่ๆ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี)ได้เคยทำการประกอบกิจในการเจริญภาวนาวิปัสนากรรมฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในการเจริญมหาสติ เจริญมหาสมาธิ เจริญมหาปัญญา และในการบริกรรมพระคาถาชินบัญชร และพระคาถาสำคัญๆ ต่างๆ ของท่าน อย่างเข้มขลังเข้มข้นทุกๆ วัน พลังของพระพุทธานุภาพ พลังของพระธรรมานุภาพ และพลังของพระสังฆานุภาพ ย่อม "แผ่ซ่าน" เข้าไปฝังอยู่ในเนื้อไม้ของ "เสาเอก" อย่างหาสุดที่จะประมาณได้ซึ่ง "ไม้เสาเอก" กุฏิของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นี้ จัดว่าเป็น "ของขลัง" ที่มีฤิทธานุภาพในตัวของมันเองอยู่แล้วประเภทหนึ่ง ท่านจึงได้นำ "เสาเอก" ดังกล่าว มาจัดสร้างเป็น พระพิมพ์สมเด็จ ทรงนิยมพระประธาน โดยการใช้ "แม่พิมพ์โลหะ" เผาไฟให้ร้อนจัด แล้วจึงนำมาอัดเข้ากับ "ไม้เสาเอก" กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ตัดเป็นแผ่นขนาดเท่าที่ต้องการ ความร้อนดังกล่าวได้เผาไหม้เนื้อไม้บางส่วนจนเป็นถ่าน แล้วจึงนำมาเซาะเอาส่วนที่ถูกเผาไหม้นั้นออก จึงปรากฏรูปทรงเป็นพระพิมพ์สมเด็จการตัดขอบไม้ไม่ค่อยเท่ากันนักจึงทำให้ขนาดของพระแตกต่างกัน แต่ยังพอวัดขนาดของพิมพ์โดยวัดจากซุ้มเรือนแก้วด้านล่าง กว้าง 2 ซ.ม. ยาวจากขอบซุ้มถึงยอดพระเกศ 3 ซ.ม. พระพักตร์ใหญ่ พระอุระกว้าง พระพาหากางออกเล็กน้อย พระเพลาโค้งตื้น ประทับนั่งขัดสมาธิบนฐาน สามชั้น ฐานชั้นล่างยาวจรดของซุ้มเรือนแก้ว ลักษณะเนื้อไม้เสาเอกนั้นแข็งมาก จึงเรียกพิมพ์นี้อีกอย่างว่า "พิมพ์นิยมเสาเอก" ที่ขอบด้านบนได้เจาะรู เพื่อบรรจุ "ผงวิเศษ" ต่าง ๆ เอาไว้โดย "ผงวิเศษ" ดังกล่าวนั้น ทำมาจากมวลสารมงคลพิเศษต่างๆ มากมาย อาทิ เช่น ผสมด้วย"ผงวิเศษต่างๆ" (เช่น ผงอิทธิเจ ผงปัถมัง ผงมหาราช ผงสุริบาตร ผงตรีนิสิงเห และผงวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ เป็นต้น) ที่ "หลวงปู่หิน" ท่านได้รวบรวมมาจากพระเกจิคณาจารย์ดังๆ ในสมัยนั้น ทั่วฟ้าเมืองไทย"เกสรดอกไม้แห้ง" ที่นำมาจากวัดทั่วประเทศไทย"ผงปูน" ที่ได้มา
                จากการกระเทาะจากพระอุโบสถวัดระฆัง"พระสมเด็จวัดระฆัง" กรุเก่าต่างๆ ทุกรุ่น
"พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม" กรุเก่าต่างๆ ทุกรุ่น"สมเด็จพระปิลัทน์" ที่ชำรุดจากกรุ มุมพระอุโบสถ ด้านทิศใต้"พระกรุต่างๆ" ที่แตกหักอีกมากมาย เช่น พระกรุวัดสามปลื้ม ฯลฯ เป็นต้น เกินจะบรรยายหมดได้ในคราวเดียวพระสมเด็จวัดระฆังไม้เสาเอก กุฏิสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี พิมพ์นิยมพระประธาน 3 ชั้นรุ่นนี้ จัดสร้างขึ้นในปี 2512 (สภาพสวยเดิมๆ 39 ปี) ในวันเสาร์ห้า (ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5) ซึ่งในทางไสยศาสตร์ ถือกันว่าเป็นวันดีเหมาะกับการทำพิธีกรรมเกี่ยวกับไสยาเวทย์ แล้วท่านจึงได้นำมาประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ตามแบบโบราณาจารย์ประเพณีทุกประการอีกครั้งหนึ่ง มีการนิมนต์เกจิพระอาจารย์ดัง ๆ ต่างๆ มาจากทั่วฟ้าเมืองไทยในสมัยนั้น ให้มาร่วมปลุกเสก ในพิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นจำนวนมากจึงถือได้ว่าพระสมเด็จวัดระฆัง "พิมพ์นิยมพระประธาน 3 ชั้น" รุ่นนี้เป็นปูชนียวัตถุมงคลที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของวัดระฆัง อีกรุ่นหนึ่ง ที่รวมไปด้วยความสุดยอดทั้งในเนื้อหามวลสาร และความสุดยอดในทางด้านพุทธคุณไว้เป็นหนึ่งเดียวเลยก็ว่าได้ 
รูปเหมือนสมเด็จโต ปี 95


                       เหรียญสมเด็จโต ปี 99 ลงยา นิยม
 
                               สมเด็จโตซุ้มระฆัง ปี 99
เหรียญสมเด็จโต ปี 99 บล็อคนิยม